จุดมุ่งหมายในการก่อตั้ง
อีกประการหนึ่งการที่บุคคลได้รับการฝึกหัดอบรมอย่างทหารนั้น เป็นการทำให้คนรู้จักวินัย คือ การฝึกหัดคนให้เป็นผู้ที่เข้าอยู่ในใต้บังคับบัญชาของผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือนายเหนือตน ซึ่งจะนำ ประโยชน์นั้นมาให้แก่ตัวเองเป็นอันมาก เพราะคนเรานั้น ถ้ารู้จักเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาของคนอื่นได้ดี จะเป็นรายที่รู้จักน้ำใจผู้น้อย ทั้งเป็นทางสั่งสอนอย่างหนึ่งให้คนมีความยำเกรงตั้งอยู่ในพระราชกำหนดกฎหมายของบ้านเมือง ทั้งจะปลุกใจคนให้มีความรู้สึกรักพระเจ้าแผ่นดินประเทศชาติและศาสนาของตนได้
ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือเป็นการเริ่มต้นการส่งเสริมความสามัคคีปรองดอง ต่อกันและกันในหมู่พลเมือง ทั้งนี้ เพราะถ้ามีการร่วมจิตใจกันในหมู่ประชาชนหรือบ้านเมืองใดแล้ว ประชาชนและประเทศนั้นก็จะแข็งแรงมั่นคงเป็นที่ยำเกรงต่อข้าศึกศัตรูทั้งปวง และจะทำการสิ่งใด ก็อาจจะสำเร็จสมประสงค์ทุกอย่าง ก็เมื่อจะให้ประชาชนอยู่ดี ประเทศชาติบ้านเมืองก็ดี มีความสามัคคีพร้อมกันได้นั้น ต้องอาศัยที่มีหัวหน้าเป็นผู้รวบรวมต่าง ๆ และเป็นผู้บัญญัติข้อบังคับแบบแผนต่าง ๆ ขึ้นให้ประพฤติตนและต้องร่วมกันรักษาสัตย์ที่จะยอมประพฤติตามบัญญัตินั้นด้วย กล่าวคือเป็นผู้มีระเบียบวินัย ดังเช่นหลักในพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธองค์ทรงวางระเบียบวินัยของพระสงฆ์ไว้เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ จึงได้ถาวรรุ่งเรืองอยู่นับเป็นเวลาหลายพันปี ส่วนในทางฆราวาสนั้นเล่า ทหารก็รวบรวมกันได้ เพราะการมียุทธวินัยเป็นหลัก จึงควบคุมให้พรักพร้อมกันอยู่ได้ ฉะนั้น เพื่อจะให้ประชาชนคนไทยทั่ว ๆ ไปที่รวมกันมาจากชุมชนต่าง ๆควบคุมกันอยู่ได้โดยพรักพร้อมมือ ก็ต้องเดินแนวอย่างทหาร คือจัดเป็นวินัยของชุมชนขึ้น เรียกว่า "วินัยเสือป่า" โดยมีพระองค์ท่านรับเป็นองค์ประมุขเสียเอง กิจการจึงดำเนินไปโดยความเรียบร้อย
ความคิดอันนี้พระองค์ทรงพระราชดำริมาแล้วก่อนที่จะก่อตั้งกองเสือป่าขึ้นมาถึง 3 ปี คือตั้งแต่ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช อยู่ ฉะนั้น เมื่อโอกาสมาถึง คือ พระองค์มีพระราชอำนาจอันสมบูรณ์แล้ว อันเป็นวันหลังจากเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเพียง 6 เดือน กับ 7 วันเท่านั้น พระองค์ก็เริ่มการจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นทันที พระองค์ทรงเห็นว่าจะให้ผู้อื่นริเริ่มแทนพระองค์นั้นย่อมทำไม่ได้ เพราะอาจจะเกิดเป็นความเข้าใจผิดไปว่าเป็นการที่คิดมิชอบต่อแผ่นดินไป ครั้นจะปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปอีก ความจำเป็นแห่งสถานการณ์ของโลกในเวลานั้น บรรดาประเทศมหาอำนาจก็กำลังนิยมการล่าเมืองขึ้นอยู่โดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยนั้นตกอยู่ในระหว่างคีมอันใหญ่ที่กำลังจะบีบให้แฟบลงไปทุกที พระองค์จึงรีบฉวยโอกาสตั้งกองเสือป่าขึ้น แต่ถึงกระนั่นก็ดีความไม่ราบรื่นภายในก็เกิดขึ้นตามมา เพราะมีบุคคลที่ยังไม่ซาบซึ้งในนโยบายอันสุขุมของพระองค์พอ เกิดมีความไม่พอใจโดยเข้าใจผิดไปว่า การที่พระองค์ทรงสนพระทัยในกิจการเสือป่ามากนั้น เป็นเพราะทรงลำเอียงรักแต่สมาชิกเสือป่าที่เป็นพวกพ้องส่วนพระองค์ จนลืมเหล่าทหารหาญซึ่งเป็นหลักสำคัญของประเทศชาติ โดยหาคิดไม่ว่า องค์การเสือป่านั้นเป็นองค์การที่เกิดขึ้นใหม่ จำเป็นจะต้องทำนุบำรุงและดำเนินงานอย่างเต็มสติกำลังด้วย การทรงเสียสละอย่างสูง เพื่อจะให้กิจการนั้นได้รับความนิยมและสำเร็จออกมาอย่างดีสมพระราชประสงค์ ส่วนกิจการทหารนั้น ความจริงได้วางรูปการไว้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว อันความเข้าใจผิดนั้นห้ามกันไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อมีผู้ก่อไฟขึ้น ผลสุดท้ายก็เกิดลุกโพลงขึ้นจริง นั่นคือหลังจากการตั้งกองเสือป่าผ่านพ้นไปได้เพียงเวลา 8 เดือนกับ 27 วันเท่านั้น ก็มีเหตุการณ์ของคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 ขึ้น ซึ่งจะเห็นหลักฐานยืนยันได้ว่า เนื่องมาจากการตั้งกองเสือป่า เพราะตามหนังสือที่คณะนี้พิมพ์แจกในงานศพของหัวหน้าคณะมีข้อความบ่งชัดว่า "การตั้งกองเสือป่าขึ้น ไม่ใช่กองลูกเสือเป็นกิจการอีกประเภทหนึ่งของประเทศ ที่ตั้งซ้ำกับการทหาร และก็ทำงานแข่งดีกับทหารของชาติ ย่อมทำความมั่นคงของชาติเสื่อมสลายลงเป็นอันมาก" เพราะความไม่เข้าใจในพระบรมราโชบายดังกล่าวนี้ พอตอนเช้า 09.00 น. ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 นั่นเอง คณะก่อการปฏิวัติคณะแรกของเมืองไทยที่เรียกกันว่า คณะ ร.ศ.130ก็ถูกจับและถูกเปิดเผยว่าเป็นคณะนายทหารหนุ่มของชาติกำลังก่อนการปฏิวัติขึ้นทั้งที่ขณะนั้นพระองค์ท่านก็ยังมิได้เสด็จกลับจากการซ้อมรบเสือป่าที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม แต่ด้วยน้ำพระทัยอันมั่นคงของพระองค์ มิได้ทรงมีพระอารมณ์ไหวหวั่นแต่ประการใด กลับทรงเห็นความสำคัญของชาติเป็นใหญ่ ไม่ทรงถือเอาความพยาบาทอาฆาตเป็นที่ตั้ง
ทรงเห็นว่า เขาเหล่านั้นทำไปเพราะความรักชาติ แต่รักไปในทางที่ผิด เป็นความไม่รู้เท่าทันอุดมคติของพระองค์ท่าน ทั้ง ๆ ที่คณะกรรมการพิจารณาโทษเสนอความเห็นให้ประหารชีวิต ก็กลับพระราชทานอภัยโทษให้เป็นเพียงจำคุกอย่างเดียว โดยมีพระราชประสงค์จะลงโทษให้พอเข็ดหลาบไว้ก่อน เพราะทรงเห็นว่า บุคคลคณะนี้เป็นบุคคลที่มีความรักชาติอย่างแก่กล้า และยอมเสียสละแม้ชีวิต ฉะนั้นต่อไปในข้างหน้าเขาเหล่านั้นก็จะเป็นนักการเมืองที่เป็นกำลังของชาติได้บ้าง จึงมิได้ลงพระราชอาญารุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งเขาเหล่านั้นกลับระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณประดุจตายแล้วเกิดใหม่อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ยิ่งทรงมานะที่จะฟันฝ่าอุปสรรคให้คนทั้งหลายเห็นว่า กิจการเสือป่าจะนำประโยชน์อันแท้จริงมาสู่ประชาชนชาวไทย โดยไม่ทรงหวั่นเกรงเลยว่าจะมีใครปฏิวัติกันอีกเป็นละลอกที่ 2 เพราะทรงถือว่าความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น แม้จะปรากฏว่า ได้เคยมีผู้เข้าใจผิดก็ตามพระองค์ก็มิได้สิ้นความพยายามไปแต่ประการใดเลย ได้ทรงชักจูงให้พลเรือนสมัครเป็นสมาชิกมากยิ่งขึ้นทุกที การเข้าเป็นสมาชิกเสือป่าจะต้องเสียสละทั้งเวลาและความสุขส่วนตัว และต้องเสียทรัพย์บ้าง พอสมควร ทรงพยายามประกาศความดีและความชั่วของแต่ละคนลงในจดหมายเหตุเสือป่า อันเป็นนิตยสารพิเศษขององค์การเสือป่า ผู้ใดทำความดีอะไรบ้างก็นำลงไว้เรียกว่า จารึกชื่อในแผ่นทอง ผู้ใดประพฤติผิดคิดร้ายก็จารึกลงในแผ่นหนังสุวาน แล้วนิตยสารนี้ก็ออกประกาศความดีความชั่วให้รู้แพร่หลายทั่วกัน อันเป็นวิธีการอันหนึ่งที่ต้อนคนให้กระทำแต่ความดี ในการนี้ต้องสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปเพื่อกิจการเสือป่ามากยิ่งเสียกว่าเพื่อความผาสุกในส่วนพระองค์ ดังเช่นที่ต้องจับจ่ายในการซ้อมรบมากมายสักเพียงใด ก็มิได้เคยเบิกเงินแผ่นดินมาใช้สอยเลย เป็นผลให้กิจการเสือป่าขยายตัวแผ่ไพศาลกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็ว ตามต่างจังหวัดก็พากันตื่นตัวที่จะรีบจัดการตั้งกองเสือป่า เพื่อเป็นกองรักษาดินแดนของตนขึ้น ประโยชน์ที่ได้มากที่สุดก็คือกองเสือป่าที่อยู่ตามชายแดน ซึ่งปกติจะมีแต่กำลังตำรวจที่ไม่เพียงพอ ส่วนกองเสือป่ามีกำลังอาวุธพร้อมอยู่ในมือ มีการฝึกอบรมเยี่ยงทหาร มีเครื่องแบบให้เห็นได้ชัดเจน มีสโมสรตั้งขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุม สโมสรเหล่านี้ยังคงเหลืออยู่เป็นอนุสรณ์ของเสือป่าตามต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง ประโยชน์ที่ได้จากกองเสือป่าในเวลาสงบศึกก็คือ
- เสือป่าเป็นหน่วยหนึ่งที่เคยช่วยราชการตำรวจอยู่เป็นประจำ เช่น เหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ช่วยกันจับกุมผู้ร้าย สำหรับเหตุใหญ่ ๆ นั้นได้ช่วยทำการปราบปราม เช่น ปราบจลาจลภายในมณฑลภูเก็ตซึ่งเกิดจากคณะอั้งยี่ยกพวกเข้าตีกัน เป็นต้น
- เป็นแนวทางให้เกิดความสามัคคีขึ้นในระหว่างข้าราชการด้วยกันเอง และระหว่างพ่อค้ากับ ข้าราชการซึ่งตามปกติต่างคนก็ต่างอยู่
- ได้ช่วยฝึกหัดอบรมให้ประพฤติตนเป็นผู้มีความประพฤติไปในทางที่ดี
- ทำให้ข้าราชการและประชาชน ที่เข้ามาเป็นสมาชิกแต่งกายสง่างามเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติและชาวไทย
อ้อมนี้ สมัยนั้นประเทศอังกฤษก็กำลังกระทำอยู่เรียกว่า "Boy Scouts Movement" ส่วนผลในการ ให้พลเมืองเป็นทหารทางอ้อมเช่นนี้มีอย่างไรนั้น ก็จะเห็นได้เมื่ออังกฤษทำสงครามกับพวกบัวส์ นอกจากนั้นประเทศสวิตเซอร์แลนด์และประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งกระโน้นก็ทำกันอยู่เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น การที่ทรงได้รับการศึกษาฝึกฝนมาอย่างพิเศษพร้อมที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยสมบูรณ์ ประกอบกับประเทศไทยก็มีราชศัตรูกำลังจ้องมองหาโอกาสอยู่รอบด้านประดุจพยัคฆ์ร้ายที่กำลังมันเขี้ยว กำลังคอยที่จะขย้ำอยู่ทุกขณะ และบทเรียนที่เคยเจ็บซ้ำน้ำใจมาจากพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 5 ซึ่งถูกเชือดเฉือนแผ่นใดไปทีละชิ้นมาหลายครั้งหลายหน พระองค์จึงยิ่งทรงมานะในกิจการเสือป่านี้เป็นประการสำคัญยิ่งในสมัยนั้น จนถึงกับทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทสุภาษิตไว้ให้แก่กองเสือป่าว่า
"แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัน ก็อาจสู้ริปูสลาย"
มีสิ่งหนึ่งที่เป็นคำขวัญของเสือป่าในสมัยที่ทุกคนลืมเสียมิได้ เพราะคำขวัญนี้มีจารึกอยู่ในที่ ทั่วไป เช่น ที่ธงประจำกองทั่วทุกเหล่า และที่ใต้แผ่นโลหะรูปหน้าเสือติดหมวกของเสือป่าและลูกเสือว่า
"เสียชีพอย่าเสียสัตย์"
เมื่อกองเสือป่าและกองลูกเสือได้จัดตั้งขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความจำเป็นอีกประการหนึ่งที่ต้องมีไว้ก็คือ สโมสรอันเป็นสถานที่ทำการฝึกหัดอบรม จึงพระราชทานที่ดินที่เป็นสนามแข่งม้า เดิมให้เป็นที่ชุมนุมเสือป่าและลูกเสือ สนามนี้เดิมตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือของพระบรมรูปทรงม้าอยู่ในลาน พระบรมรูปทรงม้า ด้านทิศใต้จดถนนข้างวัดเบญจมบพิตร ส่วนด้านตะวันออกติดคลองเปรมประชา ส่วนสนามม้านั้นย้ายไปตั้งที่ใหม่ตอนหน้าวัดเบญจมบพิตรที่เป็นสนามราชตฤณามัยอยู่ขณะนี้ พร้อมกันนั้นก็ได้จัดการปลูกอาคารหลังยาวชั้นเดียวหลังคามุงจากเป็นแนวยาว ทางด้านริมถนนวัดเบญจมบพิตร ซึ่งสามารถชุมนุมสมาชิกได้หลายพันคน เมื่อสโมสรทำเสร็จแล้วจึงทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 จนเวลาล่วงต่อมาถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ทรงเห็นว่ามีสมาชิกเสือป่าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากพอสมควรในเวลานั้น และได้มีโอกาสจัดเป็นหมู่เป็นกองวางระเบียบวินัยเป็นที่ลงรูปงานดีแล้ว จึงให้เสือป่าทั้งหมดไปทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามอีกครั้งหนึ่ง และก็น่าจะเป็นการอัศจรรย์ที่บังเอิญ วัน 25 พฤศจิกายน นั้นก็เป็นวันที่ตรงกับวันสวรรคตของ พระองค์เองใน 14 ปีต่อมา
ประโยชน์ของการลูกเสือ จากการที่องค์พระผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยได้ไปทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลายาวนาน และได้ทรงพิจารณาเห็นคุณประโยชน์ของกิจการลูกเสือมานับประการ ตลอดจนในระยะสงครามโลกครั้งที่ 1 คณะลูกเสืออังกฤษและฝรั่งเศสได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ และได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมากนั้น ทำให้พระองค์ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญและได้ทรงวางพระบรม ราโชบายเพื่อให้เยาวชนของไทยได้สร้างประโยชน์เท่าที่จะสามารถทำได้ไว้ถึง 7 ประการ คือ
1. ช่วยเป็นหูเป็นตาในการส่งข่าวคราวให้บ้านเมืองทราบ
2. ช่วยเป็นคนนำสาร และส่งข่าวให้แก่หน่วยทหารได้
3. ช่วยสะกดรอยติดตามพวกผู้ก่อการร้าย
4. ช่วยระวังรักษา และบอกเหตุถึงการก่อวินาศกรรมของผู้ก่อการร้าย
5. ช่วยลำเลียงเสบียงอาหารให้แก่กองทหาร
6. ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง ในยามบ้านเมืองเกิดวิกฤติ
7. ถ้าหากมีคนป่วย เจ็บก็สามารถเป็นผู้ช่วยเหลือพยาบาล ทำบาดแผลและช่วยเหลือ อื่น ๆ ได้
แนวทางต่าง ๆ ข้างต้นที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้ทรงกำหนดไว้ก็เพื่อว่าหวังที่จะพัฒนาเยาวชนให้เป็นลูกเสือที่ดีตลอดจนเป็นการเตรียมลู่ทางให้เป็นทหารที่ดีของชาติเมื่อเวลามาถึงและเพื่อให้เขาเหล่านั้นรักชอบวิชานักรบ (การทหาร) ด้วยความสมัครใจเพราะเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชาย อีกประการหนึ่งคนส่วนมากมักจะมองข้ามความสำคัญของเด็กไปเสีย จึงเป็นโอกาสอันดีที่เด็กอาจจะทำงานดังที่พระองค์ได้ทรงวางแนวทางดังกล่าวได้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้เคยพระราชดำรัสไว้ว่า "ลูกเสือคนใดได้ทำหน้าที่ช่วยชาติดังหัวข้อที่กล่าวมาแล้ว จะได้ชื่อว่าท่านได้ทำหน้าที่ ลูกเสือของท่าน สมกับที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชายและเกิดมาเป็นคนไทย ท่านจะได้รับความขอบคุณจากวงการลูกเสือ สมควรจะได้รับการจารึกชื่อไว้บนแผ่นทองตามข้อกำหนดของลูกเสือ"